การจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
กองกิจการพลเรือนกรมยุทธการทหารเรือ ได้ดำเนินงาน ตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ จนถึงปี ๒๕๓๒เนื่องจากกองทัพเรือมีขอบเขตความรับผิดชอบ และปริมาณงานด้านกิจการพลเรือน
การปฏิบัติการจิตวิทยา งานการเมืองการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมการพัฒนาประเทศและการช่วยเหลือประชาชนตามพื้นที่ที่รับผิดชอบ ทั้งทางบก ทางทะเลและเกาะต่าง ๆ
เพิ่มมากขึ้น แต่มีเพียงกองกิจการพลเรือน กรมยุทธการทหารเรือรับผิดชอบงานดังกล่าว ทำให้มีข้อจำกัดเรื่องการบังคับบัญชาอัตรากำลังพลและอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน
ดังนั้นกองทัพเรือจึงมีนโยบายจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ เป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือเพิ่มขึ้นอีก ๑ ส่วนราชการ โดยได้ดำเนินการ ดังนี้
วันที่ ๙ มี.ค.๓๒ กรมยุทธการทหารเรือเสนอกองทัพเรือเรื่องการจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ เป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ
วันที่ ๑๔ มิ.ย.๓๔ กรมยุทธการทหารเรือ เสนอกองทัพเรือ ขอจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
วันที่ ๒๑ มิ.ย.๓๔สำนักงานปลัดบัญชีทหารเรือ เสนอ เสนาธิการทหารเรือเพื่อจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
วันที่ ๑ ก.ค.๓๔ กองทัพเรือเสนอ กองบัญชาการทหารสูงสุด ขอจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
วันที่ ๑๖ ก.ค.๓๔ กรมยุทธการทหาร เสนอกรมกำลังพลทหารและประธานกรรมการพิจารณาการจัดและอัตรากองบัญชาการทหารสูงสุดเพื่อขอจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
วันที่ ๑๑ ก.ย.๓๔ กรมยุทธการทหาร เสนอ เสนาธิการทหาร และประธานกรรมการพิจารณาการจัดและอัตรากองบัญชาการทหารสูงสุด เพื่อขอจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
วันที่ ๓ มี.ค.๓๕ ได้มีการประชุมเรื่องการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพเรือ ครั้งที่ ๒๗๔ เมื่อวันอังคารที่ ๓ มี.ค.๓๕ณ ห้องประชุม กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด
โดยมี พล.ต.วีระ เมฆะวิภาตผู้ช่วยเจ้ากรมยุทธการทหาร เป็นประธาน จากรายงานการประชุมสรุปได้ว่าที่ประชุมมีความเห็นด้วยในหลักการที่กองทัพเรือขอแก้ไขแต่ในส่วนของการปรับหน่วยจากกองกิจการพลเรือน
กรมยุทธการทหารเรือเป็นกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ที่ประชุมเห็นว่าเป็นการขยายหน่วยงานเพิ่มขึ้นจากเดิมซึ่งเพิ่มอัตรากำลังพลและงบประมาณจำนวนมาก จึงไม่สอดคล้องกับอนุมัติหลักการของผู้บัญชาการทหารสูงสุด
เรื่อง การพิจารณาจำกัดปริมาณกำลังพลแต่ที่ประชุมได้พิจารณาถึงเหตุผล และความจำเป็นในด้านการจัดส่วนราชการกองทัพเรือให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัยทันต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัจจุบัน
และเพื่อให้กำลังรบของกองทัพเรือมีความพร้อมรบที่ประชุมมีมติเห็นควรให้กองทัพเรือรายงานเหตุผลและความจำเป็นเพื่อขออนุมัติหลักการเสียก่อน
จากนั้นไม่มีการดำเนินการในเรื่องนี้แต่อย่างใด จนถึงเดือนกันยายน ปี ๒๕๓๖กองทัพเรือได้รับบันทึกจาก กรมยุทธการทหาร ว่า กองทัพเรือยังไม่ได้รายงานผลการดำเนินการตามมติที่ประชุม ดังกล่าว ให้กรมยุทธการทหารทราบ
และในขณะนั้น อนุมัติหลักการของผู้บัญชาการทหารสูงสุดในเรื่องการจำกัดปริมาณกำลังพลยังใช้ปฏิบัติอยู่ กรมยุทธการทหารจึงคืนเรื่องให้กองทัพเรือพิจารณาดำเนินการใหม่ดังนั้นกองทัพเรือจึงได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง
คือคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างอัตรากองทัพเรือ โดย พล.ร.อ.จงกล โฉมทองดีเป็นประธานคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาเรื่องการปรับโครงสร้างอัตรากองทัพเรือในส่วนของการจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
คณะกรรมการได้มีการประชุมหารือถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง กรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ๕ครั้ง
ครั้งที่ ๑ วันที่ ๑๓ พ.ย.๓๖
ครั้งที่ ๒ วันที่ ๒๗ ม.ค.๓๗
ครั้งที่ ๓ วันที่ ๑ มี.ค.๓๗
ครั้งที่ ๔ วันที่ ๑๔ มี.ค.๓๗
ครั้งที่ ๕ วันที่ ๒๒ มี.ค.๓๗
หลังจาก การประชุมคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้าง อัตรากองทัพเรือ ๕ ครั้งกองทัพเรือได้ดำเนินการดังนี้
วันที่ ๑๙ พ.ค.๓๗ กรมยุทธการทหารเรือ เสนอกองทัพเรือ เรื่อง ขอจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ และแปรสภาพ กรมวิศวกรรมโยธาฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นกองช่างโยธา ฐานทัพเรือสัตหีบ
โดยการจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือครั้งนี้เป็นการขออนุมัติแปรสภาพกรมวิศวกรรมโยธาฐานทัพเรือสัตหีบ ๑๒๑๒ อัตรา และยุบโอนอัตรา กองบัญชาการกองทัพเรือ ๑อัตรา
กองกิจการพลเรือน กรมยุทธการทหารเรือ ๓๕ อัตรา สถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง ๒๓อัตรา และกรมส่งกำลังบำรุงทหารเรือ ๑ อัตราเพื่อจัดตั้งเป็นกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ๑๖๑ อัตรา
และไม่ทำให้งบประมาณและอัตรากำลังพลเปลี่ยนแปลง
วันที่ ๓๑ พ.ค.๓๗ผู้บัญชาการทหารเรือ เสนอ กองบัญชาการทหารสูงสุด เรื่อง การจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ และแปรสภาพกรมวิศวกรรมโยธา ฐานทัพเรือสัตหีบ
วันที่ ๑๕ก.ค.๓๗ กองบัญชาการทหารสูงสุด เสนอ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเรื่องการแก้ไข พ.ร.ฎ.แบ่งส่วนราชการ และกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพเรือ
วันที่ ๕ ส.ค.๓๗สำนักนโยบายและแผน กระทรวงกลาโหม มีหนังสือเรียนปลัดกระทรวงกลาโหม เรื่องขอแก้ไขพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ กองทัพเรือ และ
พล.อ.วิจิตร สุขมากรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม ลงนามอนุมัติหลักการ วันที่ ๕ส.ค.๓๗
ได้มีการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ ๖/๓๗ เมื่อวันที่ ๒๘ ธ.ค.๓๗ที่ประชุมได้พิจารณา เรื่องร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่แบ่งส่วนราชการกองทัพเรือ
ในการประชุมครั้งนี้มีผู้แทนจากกรมยุทธการทหารเรือ คือ น.อ.ผจงศักดิ์ แสงแก้ว ผู้อำนวยการกองกิจการพลเรือนกรมยุทธการทหารเรือ และ น.อ.ม.ล.บวรลักษณ์ กมลาศน์ ผู้อำนวยการกองการจัด
กรมยุทธการทหารเรือ เข้าร่วมประชุมสภากลาโหม เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการจัดตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
วันที่ ๗ มี.ค.๓๘ กระทรวงกลาโหมได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ และกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพเรือเพื่อตั้งกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ เป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ
คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา ดังกล่าว เมื่อวันที่ ๗ มี.ค.๓๘
วันที่๑๘ เม.ย.๓๘ กรมยุทธการทหารแจ้งให้กรมยุทธการทหารเรือทราบว่าคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว เมื่อ ๗ มี.ค.๓๘แต่เนื่องจากการยุบสภาของรัฐบาล นายชวน หลีกภัย
ทำให้พระรากฤษฎีกาดังกล่าวต้องงดดำเนินการไปวันที่ ๒๘ ก.ค.๓๘เมื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในเดือน ก.ค.๓๘ สำนักงานเลขาธิการทหารคณะรัฐมนตรีมีหนังสือเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ขอให้ยืนยันการขอแก้ไขพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ และกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพเรือฯเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
วันที่ ๒๒ ส.ค.๓๘ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
คระรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เมื่อ ๑๒ ก.ย.๓๘ และให้นำขึ้นทูลเกล้าฯถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลงพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ ๑๒ ต.ค.๓๘ และประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อ ๒๕ ต.ค.๓๘ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นาย บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี
วันที่๓๐ พ.ย.๓๘ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมลงนามในคำสั่งกระทรวงกลาโหม แก้อัตรากองทัพเรือ
โดยยกเลิก กองกิจการพลเรือนกรมยุทธการทหารเรือ ให้ใช้อัตราเฉพาะกิจ หมายเลข ๖๑๐๐กรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
วันที่ ๑๕ ธ.ค.๓๘ กองทัพเรืออนุมัติอัตรากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ในที่สุด กรมกิจการพลเรือนทหารเรือจงได้จัดตั้งขึ้นและได้อนุมัติกองทัพเรือ
ให้ วันที่ ๒๖ ต.ค.๓๘ซึ่งเป็นวันที่พระราชกฤษฎีกาฯ มีผลบังคับใช้เป็นวันสถาปนาหน่วย